วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทฤษฎีแรงจูงใจ


ทฤษฎีแรงจูงใจ
  ไม่มีทฤษฎีใดเพียงทฤษฎีเดียวที่จะอธิบายแรงจูงใจทางจิตใจของคนได้ทั้งหมด แต่ก่อนเคยเชื่อกันว่า แรงจูงใจของคนเกิดจากแรงผลักดัน(drive)ทางด้านสรีระ เช่น ความหิว ความกระหาย เพศ (เป็นแรงผลักดันขั้นปฐมภูมิ) เมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดสมดุลทางร่างกายก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้คนแสดงพฤติกรรม เพื่อให้ภาวะเหล่านี้ขาดสมดุลในร่างกายก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้คนแสดงพฤติกรรม เพื่อให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ทฤษฎีนี้อาจอธิบายพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดจากการผลักดันขั้นปฐมภูมิ หรือแรงผลักดันอื่นๆที่แตกตัวไปจากแรงขับนี้ เช่น เวลาเราหิวแล้วเราไปร้านขายขนม เราจะซื้อขนมมากว่า ถ้าเรากินข้าวอิ่มมาใหม่ๆ เราอาจจะอธิบายพฤติกรรมซื้อขนมมากขึ้นได้ว่ามาจากแรงจูงใจด้านการหิว
 ทฤษฎีสิ่งล่อใจ : นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า มนุษย์รู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนได้มากพอสมควร เพราะฉนั้นแรงจูงใจของคน จึงมีมากกว่าการรักษาสมดุลทางสรีระเท่านั้น ทฤษฎีสิ่งล่อใจนี้มีความเชื่อว่า คนมีเจตจำนง เมื่อมีสิ่งล่อใจหลายๆอย่าง คนจะสามารถเลือกได้ว่าจะเอาอย่างใหน ตัวอย่างชัดๆที่จะยกมาอธิบายก็คือ พวกนักโทษการเมืองที่แม้จะถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้และนำไปขังใว้ให้อดอาหารเฆี่ยนตี แต่ก็ไม่ยอมบอกความลับของชาติเพราะเหตุใดการอธิบายทางสรีระใช้ไม่ได้เลย หรือคนที่เชื่อมั่นในศาสนาหลายคนก็ยอมอุทิศชีวิตโดยมุ่งหวังสิ่งล่อใจทางจิตใจมากกว่าวัตถุ มีนักจิตวิทยาบางคนอธิบายเอาใว้ว่าพฤติกรรมบางอย่างที่คนกระทำนั้นทำโดยไม่ได้หวังสิ่งล่อใจจากภายนอกแต่ทำเพราะได้รางวัลจากภายใน ตัวรางวัลจากภายในที่สำคัญตัวหนึ่งคือ ความรู้สึกว่าตนเองได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
 ทฤษฎีของมาสโลว์ : มาสโลว์ได้เสนอลำดับชั้นของความต้องการโดยมีความคิดพื้นฐานว่า ความต้องการของคนไม่ได้เร่งด่วนเท่ากันหมด หากแต่มีอยู่เป็นลำดับชั้น เช่นความต้องการอาหารอันเป็นความต้องการทางสรีระ จะเป็นความต้องการเบื้องต้นเป็นพื้นฐาน ต่อมาก็เป็นความต้องการความปลอดภัยทั้งทางกายและทางใจ ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ ทั้ง ๓ อย่างนี้ มาสโลว์ ถือว่าเป็นความต้องการเบื้องต้น ส่วนอีก ๒ อันสุดท้ายเป็นความต้องการชั้นสูง คือความต้องการมีชื่อเสียง เกียรติยศ และความต้องการเข้าใจตนเองซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อความต้องการเบื้องต้นได้รับการตอบสนองแล้วเท่านั้น ในเด็กเล็กๆมักแสวงหาความพึงพอใจ จากความต้องการทางสรีระ ความต้องการความปลอดภัยและความรัก ส่วนในผู้ใหญ่หลังจากได้สิ่งเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว ก็จะแสวงหาความต้องการชั้นสูงต่อไป
 และจากทัศนะของมาสโลว์นี้ ทำให้มาอธิบายต่อไปได้ว่า เมื่อคนได้สนองความต้องการเบื้องต้นแล้วก็จะขยับขยายควาต้องการของตนขึ้นไปเรื่อยๆ คล้ายขั้นบันใด เช่น ถ้าหากตอนเด็กๆได้รับการตอบสนองทางสรีระและความมั่นคงปลอดภัย เมื่อโตขึ้นก็จะเป็นคนมีความมั่นใจในตนเอง แต่ถ้าคนซึ่งเมื่อวัยเด็กขาดความมั่นคงปลอดภัยโตขึ้นก็ยังคงแสวงหาอยู่เพราะยังไม่ได้รับสมใจ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของทฤษฎีมาสโลว์ ก็คือ ความต้องการทั้ง ๔ ขั้นแรกนั้น สิ่งที่จะตอบสนองได้มาจากภายนอก เช่น ความต้องการทางสรีระ คนต้องการอาหารและน้ำจากภายนอก ความรักและซื่อเสียงเกียรติยศก็ต้องได้มาจากภายนอกเช่นกัน แต่ความต้องการอันสุดท้ายนั้นจะได้มาจากการพัฒนาความสามารถและศักยภาพที่คนมีอยู่ ดังนั้น คนที่มีความเข้าใจในตนเองจึงพึ่งพาโลกภายนอกไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของน้อยกว่าผู้อื่น และมาสโลว์ คิดว่า นั้นเป็นเครื่องหมายของดวงจิตอันแข็งแกร่ง
     แรงจูงใจ  อารมณ์  และการรับรู้
  ในเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจ อารมณ์ และการรับรู้นี้มีตำราทางจิตวิทยาภาษาไทยได้กล่าวเอาใว้ค่อนข้างมาก เพราะทั้ง ๓ เรื่องเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการทางจิตวิทยา ในที่นี้จะเสนอคร่าวๆเป็นแนวทางพอเข้าใจ เพื่อประกอบเนื้อหาต่อๆไป
 แรงจูงใจ (motivation)
  พวกเราบางคนอาจจะเคยเล่นกับสุนัขที่บ้าน ด้วยการโยนไม้ไปไกลๆ แล้วก็ให้สุขัขวิ่งไปคาบเอากลับมาคืนเรา เมื่อตอนที่เราโยนไม้ไปแล้วและสุนัขวิ่งตามไปนั้น ถ้าเราลองสังเกตพฤติกรรมของสุนัขเราก็คงจะเห็นว่า มันกระดิกหาง สั่นหัวไปมา ทำจมูกฟืดฟาด บางทีก็เห่าเสียงดังแล้วสักครู่เมื่อมันเจอมันก็คาบเอามาคืน ถ้าเราโยนไปอีก มันก็จะวิ่งไปทางที่เราโยนไม้ไปอย่างเก่าอีก พฤติกรรมที่สุนัขแสดงนี้เราเรียกว่า พฤติกรรมที่ทำอย่างมีแรงจูงใจ (motivated behavior) อันเป็นพฤติกรรมที่อินทรีย์กระทำอย่างมีพลัง พลังส่วนหนึ่งจะถูกระดมเข้าไปเพื่อทำพฤติกรรมนี้โดยเฉพาะ และกระทำอย่างมีทิศทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พอใจ
 คนเราก็คงไม่ต่างไปจากสุนัขเท่าใดนัก เวลาที่เราเกิดหิวข้าวขึ้นมา ความหิวจะเป็นแรงกระตุ้นให้เรานั่งอยู่เฉยๆไม่ติดเราต้องออกเดิน(ถาหิวมากก็มีพลังทำให้เราเดินเร็ว)และความหิวนี้จะกำหนดทิศทางของพฤติกรรมของเราด้วย คนหิวข้าวจะไม่เดินไปแถวๆห้องนอนหรือห้องน้ำ แต่จะมุ่งตรงไปที่ห้องครัวมากกว่า เพราะฉนั้นหากจะเปรียบเทียบแรงจูงใจกับเครื่องยนต์ในรถแล้ว แรงจูงใจจะทำหน้าที่ทั้งเครื่องและพวงมาลัยด้วย
 เวลาเห็นเพื่อนคนหนึ่ง ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือเราก้อาจจะทราบคร่าวๆว่า เขามีแรงจูงใจที่จะเรียนให้ได้ดี เพราะแรงจูงใจที่ทำให้เราตั้งใจเรียนให้ดีอาจจะมีหลายอย่างเช่น ตั้งใจเพราะอยากได้คะแนนดี อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ อยากเอาใจครู และอื่นๆ แรงจูงใจที่มีพลังและมีทิศทางนี้จะกระต้นให้คนเราเลือกพฤติกรรมอันหนึ่งและละเลยพฤติกรรมอันอื่นๆที่ไม่อาจตอบสนองความต้องการของเราได้ อย่างกรณีของเพื่อนที่ตั้งใจเรียนที่ยกมาข้างต้น เขาจะสนใจแต่พฤติกรรมการเรียนแต่จะไม่สนใจการเที่ยวเตร่ การเล่นกีฬา เมื่อเวลาเราตอบคำถามว่า ทำไมคนจึงทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาจจะบอกได้ว่า เพราะเขามีแรงจูงใจเช่นนั้น เขามีความต้องการเช่นนั้น
 ความเข้าใจเรื่องแรงจูงใจ ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมคนหลายๆคนทำอะไรที่แตกต่างกันในสถานการณ์เดียวกัน เช่น เด็กบางคนไม่ค่อยตั้งใจเรียนหนังสือ เพราะแน่ใจว่าเงินจำนวนนับสิบๆล้านบาทของพ่อแม่จะช่วยให้เขาไม่อดตายแน่ในชาตินี้ ถึงจะไม่ตั้งใจเรียนอย่างไรก็ตาม หรือถ้าเขาตั้งใจเรียนไปก็เท่านั้นเอง ส่วนเด็กอีกคนหนึ่ง ที่ต้องการเรียนเพื่อความก้าวหน้าในอนาคตของตนเพราะพ่อแม่มีฐานะยากจน ที่จริงเด็กทั้งสองคนอาจจะมีความสามารถในการเรียนพอๆกัน แต่เพราะแรงจูงใจที่มีต่างกัน ทำให้คนทั้งสองมีพฤติกรรมการเรียนแตกต่างกัน ตรงนีขอย้ำว่า ความสามรถที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นไม่เหมือนกับการแสดงพฤติกรรมออกมา เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกมา ถ้าหากขาดแรงจูงใจก็อาจจะเป็นเพียงพื้นผิวของพฤติกรรมเท่านั้น เด็กที่ขาดแรงจูงใจในการเรียนหนังสือคงเรียนหนังสือได้เพียงแกนๆเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเรียนไม่เก่งหรือเรียนไม่ได้
    สิ่งล่อใจ : เป้าหมายที่คนต้องการคือสิ่งล่อใจ เช่นเด็กที่อยากได้คะแนนดีๆ คะแนนก็จะเป็นเป้าหมาย เป็นสิ่งล่อใจเขา  ทำให้เขาหมั่นเพียรเรียนหนังสือ เมื่อไรก็ตามที่เราบรรลุเป้าหมายแล้วหรือได้สิ่งล่อใจมาแล้ว เราก็มักจะหมดแรงจูงใจ เช่น พอสอบได้คะแนนแล้วก็เลิกเรียน หรือเมื่อได้ดื่มน้ำเย็นๆสักแก้วแล้วก็หมดความกระหาย เราอาจคิดว่า สิ่งล่อใจก็เหมือนกับรางวัลก็ได้ เพียงแต่เราใช้คำว่าสิ่งล่อใจเกินความหมายทั่วๆไปหมายถึงเป้าหมายที่คนต้องการ
 
  สิ่งเร้าได้เปลี่ยนความต้องการของเรา
 
  นักจิตวิทยาได้ค้นหาว่า คนมีแรงจูงใจที่จะโต้ตอบกับประสบการณ์นานาชนิด หมายความว่า คนมีความต้องการให้มีการกระตุ้นในระดับหนึ่งที่พอสมควร ถ้าในสิ่งเร้ามากระตุ้นเราต่ำกว่าที่ควร เราก็ต้องพยายามหาทางเพิ่ม เพราะฉนั้นคนบางคนมีระดับความต้องการกระตุ้นสูง เมื่อให้อยู่กับที่เฉยๆจึงเกิดความเบื่อหน่าย เซ็งขึ้นมา ต้องไปหาอะไรแปลกๆใหม่ๆมาเปลี่ยนบรรยากศเสียบ้าง หากจะพูดในอีกแง่หนึ่งก็คือ คนและสัตว์ต้องการที่จะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตน คนมีความปราถนาที่จะรู้
 
 เมื่อเวลาใช้ชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าเรามีความต้องการอันนี้อยู่ เพราะสิ่งแวดล้อมมีอะไรแปลกๆใหม่ๆอยู่เสมอ จนเราไม่รู้สึกขาด นักจิตวิทยาจึงทำการทดลองลดสิ่งกระตุ้นในสิ่งแวดล้อม โดยการจ้างนักศึกษาไปนอนโดยปิดตาปิดหู สวมเสื้อผ้าไม่ให้สัมผัสกับโลกภายนอก ทำให้ไม่กลิ่น ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้สัมผัสกับอะไรเลย ผู้ถูกทดลองอาจพบว่าตนเองไม่อาจจะทนต่อสภาพที่ไร้สิ่งเร้าเช่นนั้นได้ ส่วนมากจะทนได้ประมาณ ๒ วันเท่านั้นก็เบื่อแล้ว เริ่มมีอาการกระสับกระส่ายและรายงานว่าเกิดภาพหลอน ความจำเริ่มแตกแยก เริ่มได้ยินได้เห็นของที่ไม่มีตัวตน งานวิจัยชิ้นนี้จะช่วยให้เราเข้าใจการเกิดอาการประสาทหลอนได้
 
 และในทางตรงกันข้าม ถ้าสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อมมีมากเกินไป คนก็ต้องพยายามหาบรรยากาศที่ลดสิ่งเร้าลงบ้าง เช่น คนบางคนจะแอบไปหาห้องเงียบๆเพื่อหนีบรรยากาศที่พลุกพล่าน และยังมีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือ คนจะพยายามหาสิ่งเร้าที่มีความซับซ้อนมากกว่าที่เขาคุ้นเคยอยู่ แต่ถ้าสิ่งเร้านั้นซับซ้อนยุ่งยากมากเกินไปก็จะพยายามหลีกหนีเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้คนจึงชอบแต่เล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้แต่ถ้าเล่นแล้วเห็ยว่าเกมส์นั้นยากเกินไปคนก็จะเลิก แม้แต่เรื่องตลกก็จะมีระดับความยากได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน เรื่องตลกที่ยุ่งยากซับซ้อนนิดๆหน่อยๆเราก็พอใจ แต่ถ้าสลับซับซ้อนมาก เราก็จะรู้สึกว่าฝืดหัวเราะไม่ออก หรือถ้าเป็นตลกง่ายๆแบบเด็กๆเราก็ไม่ขำอีกเช่นกัน
 
 คนแสวงหาความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และนี่ก็เป็นส่วนสำคัญในเรื่องการรับรู้ ในการทดสอบเอาหนูว่างบน T-maze ( ทางเดินรูปตัว T ) ถ้าเริ่มแรกหนูเริ่มต้นเลี้ยวซ้ายและวิ่งไปจนสุดทาง แล้วเราจับมันมาวางบนทางแยกใหม่ คราวใหม่นี้มันจะเลี้ยวขวา เราจะพบปรากฏการณ์นี้บ่อยๆในเด็กทารกที่พยายามแสวงหาและสำรวจสิ่งเร้าใหม่ๆเด็กๆซื้อของเล่นก็เพราะแบบนี้ เวลาเด็กร้องให้แล้วเราเอาของเล่นแปลกๆ เช่น เอาของเล่นที่มีเสียงแปลกๆไปให้ดู เด็กจะเลิกร้องไห้และหันมาสนใจของใหม่ หรือถ้าเราจับเด็กไปใว้ในกองของเล่นอันเก่าๆของเขาที่มีของเล่นอันใหม่ปนอยู่ด้วยอันหนึ่งเขาจะเล่นอันใหม่ทันที แรงจูงใจเช่นนี้จะมีติดตัวมาแต่กำเนิด หรือมาเรียนรู้เอาภายหลังเรายังไม่อาจบอกได้แน่ชัดลงไป เพราะแม่แต่ในหมู่นักจิตวิทยาก็ยังถกเถียงกันอยู่
 
 ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแรงจูงใจนั้น เราอยากจะรู้ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจผลักดันให้คนแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น หรือแรงจูงใจมากน้อนเท่าใดจึงจะทำให้พฤติกรรมที่แสดงอยู่นั้นยาวนานอยู่ได้ ประโยคที่เราถามว่า "นี่เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนะ" หรือประโยคอื่นๆที่ต้องการคำตอบในทำนองนี้ คือคำถามที่เราต้องการคำตอบในเรื่องแรงจูงใจนั้นเอง เวลาที่เราทำกิจกรรมโดยมีแรงกระตุ้นจะทำให้เราอยู่ในสภาพที่พร้อมที่จะทำพฤติกรรม มากกว่าสภาพที่ไรแรงกระต้นใจ เช่นเวลาที่นักเรียนไปเรียนหนังสือทุกๆวันส่วนมากมักจะไม่มีแรงจูงใจที่จะดูหนังสืออย่างหนักทุกวันแต่วันใหนมีการสอบ การสอบก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้พร้อมที่จะดูหนังสือมากกว่าปกติ
 
 การเห็นแบบอย่างเป็นแรงกระตุ้นใจที่ดี และนี้สามารถใช้อธิบายเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันได้มากมาย ผลสะท้อนในแง่ที่เป็นเยี่ยงอย่างมีมากดังเช่นปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า "เชือดไก่ให้ลิงดู" สำหรับพฤติกรรมที่ยาวนาน พฤติกรรมที่รุนแรงเข้มข้น พฤติกรรมที่มีการเสี่ยงสูง พฤติกรรมเหล่านั้นย่อมมีแรงจูงใจทั้งนั้น เมื่อเราเติบโตขึ้นมา เช่น บางทีเรากระหายน้ำ แต่เราไม่ต้องการกินเพียงน้ำเปล่าธรรมดา ผู้หญิงบางคนอาจต้องการโอเลี้ยงสักแก้ว แต่คอทองแดงบางคนอาจต้องการเบียร์เย็นๆสักแก้ว ส่วนวิธีการตอบสนอง ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีลวดลายลูกเล่นต่างๆมากมายและเวลาที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ ความคับข้องใจที่เกิดขึ้น เนื่องจากความไม่สามารถไปให้ถึงความต้องการก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน
 
 พฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นมาก ก็ยิ่งมีความพร้อมมากการกระตุ้นทางอารมณ์และการกระตุ้นด้วยเหตุผลมีผลต่อความพร้อมแตกต่างกัน การกระตุ้นทางอารมณ์ช่วยให้พฤติกรรมนั้นรุนแรงเข้มข้น แต่มีลักษณะชั่งระยะเวลาสั้นๆ ส่วนการกระตุ้นทางเหตุผลมีลักษณะให้การแสดงพฤติกรรมอันยาวนานคงทนต่อเวลาแต่การแสดงพฤติกรรมอาจไม่รุนแรง


อ้างอิง


วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ความต้องการ5ขั้น




ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์

(1/1)

วัชระ: 
ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์. 
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งกำหนดโดยนักจิตวิทยา ชื่อ มาสโลว์ (Abraham Maslow) เป็นทฤษฎีการจูงใจที่มีการกล่าวขวัญอย่างแพร่หลาย มาสโลว์มองว่าความต้องการของมนุษย์มีลักษณะเป็นลำดับขั้น จากระดับต่ำสุดไปยังระดับสูงสุด เมื่อความต้องการในระดับหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการอื่นในระดับที่สูงขึ้นต่อไป 

1. ความต้องการทางร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ น้ำดื่ม การพักผ่อน เป็นต้น

2. ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง (security or safety needs) เมื่อมนุษย์สามารถตอบสนองความต้องการทางร่างกายได้แล้ว มนุษย์ก็จะเพิ่มความต้องการในระดับที่สูงขึ้นต่อไป เช่น ความต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความต้องการความมั่นคงในชีวิตและหน้าที่การงาน

3. ความต้องการความผูกพันหรือการยอมรับ (ความต้องการทางสังคม) (affiliation or acceptance needs) เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ เช่น ความต้องการให้และได้รับซึ่งความรัก ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ ความต้องการได้รับการยอมรับ การต้องการได้รับความชื่นชมจากผู้อื่น เป็นต้น

4. ความต้องการการยกย่อง (esteem needs) หรือ ความภาคภูมิใจในตนเอง เป็นความต้องการการได้รับการยกย่อง นับถือ และสถานะจากสังคม เช่น ความต้องการได้รับความเคารพนับถือ ความต้องการมีความรู้ความสามารถ เป็นต้น

5. ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (self-actualization) เป็นความต้องการสูงสุดของแต่ละบุคคล เช่น ความต้องการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จ ความต้องการทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง เป็นต้น

จากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ สามารถแบ่งความต้องการออกได้เป็น 2 ระดับ คือ

1. ความต้องการในระดับต่ำ (lower order needs) ประกอบด้วยความต้องการทางร่างกาย, ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง และความต้องการความผูกพันหรือการยอมรับ
2. ความต้องการในระดับสูง (higher order needs) ประกอบด้วย ความต้องการการยกย่องและความต้องการความสำเร็จในชีวิต

ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (the need–hierarchy conception of human motivation) Maslow เรียงลำดับความต้องการของมนุษย์จากขั้นต้นไปสู่ความต้องการขั้นต่อไปไว้เป็นลำดับดังนี้ 
1. ความต้องการทางด้านร่างกาย (physiological needs) 
2. ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) 
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (belongingness and love needs) 
4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง (esteem needs) 
5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (self-actualization needs) 

http://53010522023.blogspot.com/2012/06/5.html

อ้างอิง
https://www.google.co.th/search?q=5%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2&rlz=1C1CHBD_enTH724TH726&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjels-DzurWAhUJK48KHaliCzoQ_AUICigB&biw=1366&bih=613#imgrc=bIt3Nn6MJ-JD0M:

https://www.google.co.th/search?q=5%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2&rlz=1C1CHBD_enTH724TH726&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjels-DzurWAhUJK48KHaliCzoQ_AUICigB&biw=1366&bih=613#imgrc=arEyQ0Y8f7FgfM:

https://www.google.co.th/search?q=5%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2&rlz=1C1CHBD_enTH724TH726&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjels-DzurWAhUJK48KHaliCzoQ_AUICigB&biw=1366&bih=613#imgrc=AcKYPy2zbFDZHM:

สงครามดลกครั้งที่1


                                 
                                      https://www.youtube.com/watch?v=mFWfEzKCNKA

 อ้างอิง

คือ สงครามแห่งความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1914 ถึงค.ศ.1918 ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่1
1.ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
2.การเกิดลัทธิจักรวรรดินิยม  ชาติมหาอำนาจในยุโรปได้ขยายอำนาจและอิทธิพลออกไปสู่ดินแดนนอกทวีป
3. การเกิดลัทธิชาตินิยม   เป็นความรู้สึกรักและภูมิใจในชาติของตนอย่างรุ่นแรง
 4.ปรารถนาจะเห็นชาติของตนมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือชนชาติอื่น  โดยการสร้างกองทัพให้เข้มแข็งรุกรานชนชาติอื่น
สนามเพลาะ คือแนวตั้งรับในการทำสงคราม ด้วยการขุดหลุมเพลาะเป็นแนวยาวเหยียดหลายแนวสลับซับซ้อนกัน ไป ด้านหน้าทำการสร้างลวดหนามไว้ต้านทานทหารของฝ่ายข้าศึก ทหารจะอาศัยอยู่ในรูที่ ขุดเข้าไปใต้ดินเพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกและใช้หลับนอนอยู่อาศัย พอข้าศึกบุก ก็จะเข้าไปประจำในสนามเพลาะทำการยิงปืนยาวสกัดข้าศึกที่ดาหน้าฝ่าแนวลวดหนาม เข้ามารวมทั้งใช้ปืนกลและปืนใหญ่ของฝ่ายเดียวกันช่วยยิงสกัดข้าศึกด้วย พอจะทำการรุกทหารก็จะขึ้นจากสนามเพลาะของตนวิ่งข้ามเขตปลอดคน(No man land) 


ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศคู่สงครามทั้ง 2 ฝ่าย
2. ประเทศผู้แพ้สงครามถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญา ได้แก่
  สนธิสัญญาแวร์ซายส์  ทำกับประเทศเยอรมัน
  สนธิสัญญาตรีอานอง  ทำกับประเทศฮังการี
  สนธิสัญญาเนยยี  ทำกับประเทศบัลแกเรีย
  สนธิสัญญาแซงต์แยร์แมง  ทำกับประเทศออสเตรีย
  สนธิสัญญาแซฟส์  ทำกับประเทศตุรกี 
4.เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกได้รับความเสียหายจากสงคราม

5. ทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรป ได้ล้มสลายลง เช่น จักรวรรดิรัสเซีย  จักรวรรดิเยอรมัน  จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมันต้องล่มสลายลง
6.เกิดประเทศใหม่ในยุโรป เช่น เชคโกสโลวาเกียและยูโกสลาเวียแยกออกจากรัสเซีย ออสเตรีย  ฮังการี  ถูกแยกออกจากกัน   โปแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย แยกเป็นประเทศใหม่


กล้องถ่ายภาพ



กล้อง...เป็นหัวใจของการถ่ายภาพ ดังนั้นถ้าเราต้องการถ่ายภาพให้ภาพที่ได้ออกมามีสีสรรสวยงาม เราจะต้องเรียนรู้วิธีการใช้กล้องให้ถูกต้อง หวังว่าเพื่อนๆ คงมีกล้องแล้วคนละ 1 ตัว ต่างคนต่างยี่ห้อ แต่ว่าฟังชั่นการทำงานหลักๆ เหมือนกันทุกประการ ผมขอยกตัวอย่างจากกล้อง SLR แบบแมนนวล ที่ค่อนข้างจะมีปุ่มปรับที่เด่นชัด ส่วนกล้องออโตโฟกัสถึงแม้จะมีรูปทรงที่แตกต่างกันไป ปุ่มปรับต่างๆ คล้ายปุ่มเกมส์กด แต่ผลของการปรับก็เหมือนกัน เปรียบเทียบได้กับ TV รุ่นก่อนๆ ที่เปลี่ยนช่องโดยใช้วิธีการหมุนปุ่มบิด เวลาจะเปลี่ยนช่องกันทีก็ต้องหมุนปุ่มลูกบิดดังดังแป๊กๆๆ เพื่อเปลี่ยนช่อง ส่วน TV รุ่นใหม่ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนช่องโดยการกดปุ่มหรือไม่ก็ใช้กดปุ่มรีโมท ไม่ว่าจะเปลี่ยนช่องด้วยวิธีไหนผลที่ได้ออกมาก็เหมือนกันคือได้ดูในช่องที่ต้องการจะดู กล้องก็เหมือนกันมีการออกแบบให้เข้ายุคเข้าสมัยแต่จุดสุดท้ายก็ปรับไปค่าๆ เดียวกันซึ่งให้ผลการถ่ายภาพออกมาสวยงามอย่างที่ตาเห็น

กล้องมีการปรับปริมาณแสงที่จะตกกระทบลงบนแผ่นฟิล์มได้ 2 วิธีคือ ปรับความเร็วชัตเตอร์ และ ปรับขนาดรูรับแสง
ความเร็วชัตเตอร์   คือความเร็วในการเปิด – ปิด ช่องรับแสง ตัวที่ทำหน้าที่ในการเปิดและปิดกั้นแสงที่จะเข้าไปโดนฟิล์มคือม่านชัตเตอร์ ลองเปิดฝาหลังกล้องออก ( เหมือนเวลาใส่ฟิล์ม ) แล้วลองกดปุ่มถ่ายภาพดู จะเห็นแผ่นบางๆ เคลื่อนที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ตัวที่เคลื่อนที่ขึ้นลงเพื่อเปิดปิดกั้นแสงนี้คือม่านชัตเตอร์ ระยะเวลาสั้นๆ ในการเปิด-ปิดนั้น จึงเรียกว่าความเร็วชัตเตอร์ หรือ Speed ในภาษากล้องเป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึง ความเร็วในการเปิดปิดแสงของม่านชัตเตอร์ Speed มีตั้งแต่ช้าจนถึงเร็ว เช่นปล่อยให้แสงเข้ากล้องเป็นเวลา 1 วินาที ,ครึ่งวินาทีหรือ ½ วินาที ,ครึ่งของครึ่งวินาทีหรือ ¼ วินาที , 1/8 วินาที ->ไปจนถึง 1/500 วินาที , 1/1000 วินาที , 1/2000 วินาที , 1/4000 วินาที และสูงสุดในปัจจุบันที่ 1/8000 วินาที หรือเข้าใจง่ายๆ ว่า ถ้าเราแบ่งช่วงเวลา 1 วินาทีออกเป็น 8000 ส่วน ความเร็วขนาดนี้ไวมากเพียงเศษของ 1 ใน 8000 ส่วนนั้น เร็วจนสามารถหยุดหัวลูกปืนที่ยิงออกไปจากกระบอกปืนได้ ทั้งๆ ที่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้ ( ถ้าคงเห็นได้หากใครยิงเราก็คงหลบทันซินะ ) วิธีการเขียนแบบเศษส่วนนี้ดูแล้วก็ชวนเวียนหัวดังนั้นจึงเขียนใหม่ให้เข้าใจง่ายๆ และใช้พื้นที่เขียนน้อย คือ 1, 2, 4, 8, 15, 30, 60, 125, 250 , 500, 1000, 2000, 4000, 8000 และ B ( นานเท่าที่ใจเราต้องการ ) ดังนั้นเมื่อเห็นตัวเลขมากขึ้นอย่าเข้าใจว่ายิ่งช้าลง เพราะตัวเลขนั้นย่อมาจากเศษส่วนใน 1 วินาที บางรุ่นก็สามารถเปิดได้นานถึง 30 วินาที จนเร็วที่สุดถึง 1/8000 วินาที ปกติก็จะอยู่ระหว่าง 1-2000 วินาที ซึ่งเร็วเพียงพอแล้วสำหรับการถ่ายภาพแบบธรรมดา

รูรับแสง
ขนาดของช่องที่ปล่อยให้แสงผ่านเข้าไปในเลนส์เพื่อรอการเปิดม่านชัตเตอร์ปล่อยให้แสงตกลงบนแผ่นฟิล์ม คือ ขนาดรูรับแสง ตัวที่ทำหน้าที่ในการปรับขนาดความโตของรูที่แสงจะผ่านคือกลีบแผ่นโลหะในกระบอกเลนส์ มีลักษณะเป็นแผ่นพระจันทร์เสี้ยวหลายๆ แผ่นวางเหลื่อมล้ำกัน เมื่อเราปรับขนาดตัวเลขบนกระบอกเลนส์ ( เลนส์แมนนวล ไม่ใช่เลนส์ออโตโฟกัสนะ ) ก็จะทำให้ระบบกลไกลไปกดไปดันให้แผ่นที่ว่านั้นเปิดเป็นช่องเล็กๆ ทำให้แสงผ่านไปได้ ถ้าหากมีกล้องอยู่ในมือให้ลองเปิดฝาหลังออก แล้วปรับความชัตเตอร์ไปที่ B แล้วส่องกล้องไปยังพื้นที่สว่างๆ แล้วกดปุ่มถ่ายภาพ จะเห็นช่องรับแสงที่เราปรับไว้ ขนาดดูรับแสงมีขนาดต่างๆ ดังนี้คือ f 1.4 , 1.8 , 2.0 , 3.5, 4.5 , 5.6 , 8, 11, 16, 22 ตัวเลขดังกล่าวอาจจะทำให้สับสน ตัวเลขดังกว่ายิ่งมีค่ามากรูรับแสงยิ่งแคบ จากตัวเลขทั้งหมดนี้ f1.4 มีขนาดช่องรับแสงที่กว้างที่สุด และ f22 มีขนาดแคบที่สุด เพื่อทำความเข้าใจกับขนาดรูรับแสง ลองปรับขนาดรูรับแสงบนกระบอกเลนส์แล้วกดปุ่มถ่ายภาพดู จะเห็นขนาดของรูรับแสงที่มีขนาดแตกต่างกัน

                                       http://www.tourdoi.com/general/camera/basic.htm

ความเร็วชัตเตอร์ก็ต้องปรับ ขนาดรูรับแสงก็ต้องปรับ แล้วจะปรับกันอย่างไร เมื่อไรจะรู้ได้ว่าแสงพอดี อ่านแล้วชักเวียนหัว ไม่ยากเลยสำหรับการปรับค่าตัวแปรทั้งสองนี้ ตัวที่จะบอกเราได้ว่าปริมาณแสงพอดีหรือยังคือ เครื่องวัดแสงในตัวกล้อง บางรุ่นที่เก่าๆ จะเป็นเข็มเคลื่อนที่ขึ้นลง ไปทางบวกแปรว่าแสงมากไป ลงมาทางลบแปรว่าแสงน้อยไป ต้องปรับให้อยู่ระหว่างกลางพอดี บางรุ่นจะแสดงเป็นไปหรี่จะบอกปริมาณแสงด้วยความความอ่อนแก่ของสี จุดกลางสุดเป็นจุดที่แสงพอดี ขึ้นไปเป็นแสงมากไป ต่ำลงมาเป็นแสงน้อยไป ลองมองแล้วสังเกตแล้วจะรู้เอง สำหรับมือใหม่ที่ถ่ายด้วยมือควรปรับความเร็วชัตเตอร์ไว้ไม่ต่ำกว่า 60 ถ้าช้ากว่านี้ เวลาถ่ายแล้วมือไม่นิ่งอาจจะทำให้ภาพไหวได้ ถ้าจำเป็นต้องถ่ายด้วยความเร็วที่ต่ำกว่านี้ควรใช้ขาตั้งกล้อง
รู้การปรับทั้งสองอย่างไปแล้ว เราก็ยังไม่สามารถถ่ายรูปได้ ก่อนอื่นเราจะต้องใส่ฟิล์มและปรับตั้งค่าความไว้แสงฟิล์มเสียก่อน
การปรับค่าความไวแสงฟิล์ม ฟิล์มที่มีขายในท้องตลาดมีคุณสมบัติในรับการแสงแต่งต่างกันตามความเหมาะสมในการใช้งาน ค่าที่ต่างกันคือค่าความไว้แสง ดังนั้นเมื่อเราใส่เราฟิล์มเราจะต้องปรับตั้งค่าความไว้แสงของกล้องให้ตรงกับค่าความไวของฟิล์ม ถ้าตั้งค่าผิดไป กล้องก็จะวัดแสงผิด ฟิล์มในท้องตลาดจะมีค่าความไวแสงดังนี้ 50, 100, 200, 400, 800 …. ฟิล์มสีที่เราใช้ถ่ายภาพทั่วไปคือ ความไว 100 หรือ ISO100 เราก็ต้องปรับค่า ISO ของกล้องให้เป็น 100 โดยการปรับปุ่มเดียวกันกับปุ่มปรับความเร็วชัตเตอร์ แต่ต้องดึงปุ่มนั้นขึ้นมาหนึ่งจังหวะแล้วหมุนเอาตามความต้องการ แต่ถ้าหากเราไม่ดึงปุ่มที่ว่านั้นขึ้นมาก็จะกลายเป็นหมุนปรับเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์


อ้างอิง

http://www.tourdoi.com/general/camera/basic.htm